พฤศจิกายน 22, 2024

“สุริยา ชินพันธุ์” เผยจุดเปลี่ยนในชีวิต เคยเครียดจนอยากฆ่าตัวตาย

“สุริยา ชินพันธุ์”  เผยจุดเปลี่ยนในชีวิต เคยเครียดจนอยากฆ่าตัวตาย
นักแสดงในตำนาน สุริยา ชินพันธุ์  เผยเรื่องราวจุดเปลี่ยนในชีวิต จากพระเอกดาวรุ่งสู่ดาวร่วงในช่วงข้ามคืน เพราะป่วยหนักหลายโรครุมเร้า เคยถูกฟ้องจนล้มละลาย เครียดจนอยากฆ่าตัวตาย ในรายการ  “คุยแซ่บSHOW” ทางช่องOne31 ที่มี  “พีเค” ปิยะวัฒน์ และ เป๊กกี้ ศรีธัญญา  เป็นพิธีกรดำเนินรายการ


เส้นทางในวงการที่ผ่านมา

สุริยา ชินพันธุ์: เริ่มจากเราเล่นหนังแล้วสะสมไว้ จนเราดรอปการแสดงแล้วไปตั้งวงดนตรี ตอนตั้งวงก็มีการยืมเขามามั่ง ใช้เงินสะสมของตัวเองบ้าง เปิดได้ 5 ปี 3 ปีแรกพออยู่ได้ แต่ 2 ปีหลังเริ่มแย่ เพราะมีการปฎิวัติ น้ำมันก็แพงขึ้น และเริ่มมีช่องโทรทัศน์เกิดขึ้น ส่วนที่ต้องขายบ้าน ขายรถ ก็เพื่อเอามาใช้หนี้ส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งก็เอามาปิดไฟแนล เพราะวงดนตรีของผม ผมลงทุนเอง ในขณะที่วงลูกทุ่งวงอื่นๆ เขามีนายห้างสนับสนุน 


ตอนนี้อาศัยอยู่ไหน 

สุริยา ชินพันธุ์: อยู่บ้านตัวเองแถวลำลูกกา ก็อยู่มา 15 ปีแล้วกับภรรยา 2 คน ส่วนลูกๆ โตกันหมดแล้ว ตอนนี้ลูกชายก็ลำบาก ขับแท็กซี่ ส่วนลูกสาวก็ไปมีครอบครัว แต่ก็มีส่งให้คุณพ่อเดือนละ 4-5 พัน ก็พอได้ใช้จ่าย ถามว่าพอไหม ก็ไม่พอหรอก เพราะมีทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่าย แล้วเราต้องออกไปโน่นไปนี่ แต่ช่วงนี้ดีหน่อยโควิดมา 2 ปีนี้ก็ไม่ค่อยออกไปไหน 

ได้ข่าวว่าระหว่างที่กำลังโด่งดัง ป่วยเป็นตับแข็ง

สุริยา ชินพันธุ์: ตับแข็ง เคยเป็นมา 2 ระยะ ระยะแรกเป็นเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ตอนนั้นอายุ 24-25 ปี ก็เป็นไวรัสซีซึ่งผมก็รักษาหายแล้ว  ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมเล่นละครทีวี ตั้งแต่สมัยช่อง 4 บางขุนพรหม ซึ่งตอนนั้นมีแค่ 2 ช่อง คือ ช่อง 4 บางขุนพรหม และช่อง 5 สนามเป้า ช่วงนั้นถ่ายหนังยังเป็นแบบไขลาน  ถามว่าเป็นตับแข็งเพราะดื่มเหล้าหรือเปล่า ปกติผมไม่ดื่ม แต่เวลาออกงานสังคมก็มีดื่มบ้าง แต่ก็มีดื่มยาชูกำลัง ตอนนั้นผมดื่มวันละ 5 ขวด เพราะงานเยอะเราไม่ได้พักผ่อนก็เลยต้องดื่มยาชูกำลัง ยิ่งช่วงหน้าฝนเราก็เล่นดนตรีที่ปักษ์ใต้เพราะเงินดี ช่วงนั้นเล่นวันละ 2 รอบ เล่นบ่ายและค่ำ  ตอนนี้กลายมาเป็นตับแข็งอีกครั้งแม้ว่าเราจะรักษาไวรัสซีหายแล้ว แต่คุณหมอบอกว่าอาการตับแข็ง ตับมันแข็งแล้วแข็งเลย รักษาไม่หาย ทุกวันนี้ก็ต้องทานยาตลอดชีวิต  


อายุเท่าไหร่แล้ว ทำไมหล่อขนาดนี้ 

สุริยา ชินพันธุ์: ผมเกิดปี 2495 ตอนนี้อายุ 70 ปีแล้ว คือตั้งแต่สมัยตั้งแต่เป็นดาราแล้ว ผมเป็นคนจริงจัง เวลาแสดงก็คือแสดง เวลาที่พักก็คือพัก ถ้าเราเครียดหรือกลุ้มใจเราชอบทำอะไรก็ทำ อย่างผมชอบฟังเพลงก็ฟังเพลง แต่บางคนกลุ้มใจหรือเครียดแล้วดื่ม อันนี้ผมว่ามันไม่ดีแน่ๆ 


ก่อนหน้านี้ป่วยเป็นเส้นเลือดในสมองตีบด้วย 

สุริยา ชินพันธุ์: ส่วนเส้นเลือดในสมองตีบนั้นก็เป็นจริง เพราะก่อนหน้านี้ผมถ่ายหนังไม่ได้พัก แล้วเผอิญว่าตอนถ่ายทำเป็นฉากไปช่วยนางเอก แล้วรถล้อไปสะดุดกับหินเข้า ผมรู้สึกแค่ว่าเหมือนมีดาวเต็มไปหมดแล้วหลังจากนั้นก็วูบไปเลย ตื่นขึ้นมาอีกที ทีมงานกองก็เอายาดมมาให้ดม มาบีบนวดเราเต็มไปหมด ซึ่งผมคิดว่าเส้นเลือดในสมองตีบอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้หรือเปล่า คือสมัยนั้นยังไม่มีสแตนอิน ฉากบู๊แบบนี้ ศิลปิน ดาราต้องเล่นเอง   

พอเป็นเส้นเลือดในสมองตีบ  มันส่งผลกระทบอะไรบ้าง

สุริยา ชินพันธุ์: มันมาส่งผลตอนนี้ ส่งผลให้ความจำไม่ค่อยดี เรียกว่าเป็นอัลไซเมอร์อ่อนๆ ก็ใช่ แบบละครให้เราท่องบทก็ลำบากหน่อย ให้ร้องเพลงก็ต้องหลายเทคหน่อย ส่วนตอนที่ร้องเพลงแล้วคอเบี้ยวเป็นช่วงที่เราเดินสายลูกทุ่งอยู่ 5 ปี เราร้องเพลงหนัก ร้องจนไม่ไหว ร้องจนอยากจะหยุดวง ส่วนลูกน้องในวงพวกหางเครื่องมีเป็นร้อยชีวิต ก็บอกเราว่าอย่าหยุดเลยหัวหน้า ถ้าหัวหน่าหยุดพวกผมจะกินอะไร  ตอนช่วงทำวงดนตรี หน้าแล้งเป็นงานหา อย่างงานฝังลูกนิมิต งานตัดลูกหวาย งานบวช งานแต่ง พอเข้าหน้าฝนก็ต้องเปิดวิก เล่นในโรงหนังให้คนดูซื้อบัตรซื้อตั๋วเข้าไปดู ช่วงนั้นก็มีวงดังๆ อย่าง เพลินพรหมแดน ไวพจน์ เพชรสุพรรณ ไพรวัลย์ ลูกเพชร ฯลฯ ส่วนรุ่นผมก็จะมีศรชัย เมฆวิเขียร  สายยัณห์ สัญญา ส่วนพุ่มพวง นั้นยังไม่ดัง เขายังอยู่กับพี่ไวพจน์อยู่  

ตอนนี้รักษาเส้นเลือดในสมองตีบหายหรือยัง

สุริยา ชินพันธุ์: เส้นเลือดในสมองตีบรักษาหายแล้ว แต่ตอนที่ป่วยก็จะมีอาการคอเบี้ยวและกึ่งๆเป็นอัมพาตครึ่งซีกแต่ยังเดินได้ เพราะเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ เราก็รักษาด้วยอาหารและการออกกำลังกายเบาๆ   ส่วนไวรัสซีก็รักษาหายแล้ว แต่ตับคนเราแข็งแล้วแข็งเลย แต่เราก็สามารถดูแลตัวเองได้ ทุกวันนี้ก็กินน้ำเปล่า กินปลาน้ำจืด กินผัก กินข้าวต้ม ก็โอเคแล้ว อยู่ได้ 
ผ่านมรสุมชีวิตหนักๆ บ้านโดนยึด ยุบวงดนตรี

ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น 

สุริยา ชินพันธุ์: เราไปทำวงดนตรีคือ 3 ปีแรกอยู่ได้ 2 ปีหลังอยู่ไม่ได้เพราะมีเคอร์ฟิล และตอนนั้นก็มีช่องทีวีหลายช่อง มีช่วงหนึ่งวงดนตรีโดนระเบิด คือผมไปเล่นดนตรี แล้วเด็กๆ วัยรุ่นจะขอเข้ามาดูฟรี ซึ่งทีมงานไม่ให้เพราะวงดนตรีเราก็ลงทุนมาเยอะ ก็คุยกันไม่รู้เรื่อง ก็เกิดการวิวาทกันแล้วเขาก็หนีไป แต่หลังจากกฌมีข่าวว่าเขาจะมาเอาคืน  ซึ่งวันนั้นหลังจากวงดนตรีเลิกคนดูออกเกือบหมดแล้ว  ผมกับลูกน้องก็ออกไปรับค่าตัวที่คนจ่ายตังค์ แล้วก็เก็บเครื่องเสียง เก็บสแตน เก็บไฟ เก็บเวทีกันอยู่ ซึ่งบริเวณนั้นทำเป็นเพิงหมาแหงน สักพักก็มีคนปาระเบิดเข้ามา ลูกระเบิดกลิ้งหล่นลงมาจากเพลิงหมาแหงนแล้วก็ระเบิดตู้ม วันนั้นเสียเสียชีวิต 5 ศพ แล้วก็มีคนบาดเจ็บ ตอนนั้นเราต้องมีสติ ผมก็บอกลูกน้องรีบเอาคนเจ็บออกมาแล้วพากันไปโรงพยาบาลสมุทรปราการ แล้วหลังจากที่เกิดเหตุการณระเบิด วันรุ่งขึ้นเราต้องไปแสดงต่อที่ซอยพาณิชย์ธน แถมจรัญสนิทวงศ์  ก็ต้องไป วันนั้นลูกวงค่อนข้างเล่นไม่ค่อยดี ถามว่าเรากลัวไหมก็กลัวเหมือนกัน แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็ไม่กลัวเพราะเราเคยถ่ายหนัง ซึ่งบางเรื่องใช้ของจริงๆ ทั้งปืนระเบิด ถามว่าลูกทีมเอากำลังใจมาจากไหน เราก็ให้กำลังใจเขาว่าอย่างไรหัวหน้าก็ต้องดูแล หลังเสร็จงานก็ไปฟังสวดเพื่อนที่วัดมะกอก 


ผ่านไป 5 ปีก็ต้องยุบวง  มีหนี้ด้วย ล้มละลายด้วย เกิดอะไรขึ้น

สุริยา ชินพันธุ์: ครับ เราก็เป็นบุคคลล้มละลายเพราะเราไม่มีอะไรไปใช้หนี้เขา บ้าน ทีวี ตู้เย็น  เขาก็มายึดไป วงก็โดนยุบ ผมต้องเดินสายเล่นดนตรีก็ต้องฝากลูกๆ ให้คุณย่าเขาดูแล ช่วงนั้นลำบาก แต่ช่วงนั้นก็ยังโชคดีที่เพื่อนฝูงยังมีมาช่วยเหลือบ้าง แฟนคลับก็ช่วยเหลือ ตอนนั้นเราก็ป่วยด้วย ก็เลยถือโอกาสตอนช่วงหน้าฝน วงหยุดเล่นไม่ได้ก็เลยไปบวช 7 วัน 


แล้วเอาเงินที่ไหนรักษาตัว

สุริยา ชินพันธุ์: ก็ได้เงินจากแฟนคลับบ้าง จากผู้ใหญ่ใจดีบ้าง และที่น่ารักที่สุดคือ เอก สรพงษ์ ชาตรี เขาก็มาช่วง 3-5 หมื่น รวมถึงบุคคลที่เราไม่รู้จักแต่เขาก็ให้คนมาติดเราให้เราไปหาเขา คือคุณต๋อง ศิษย์ฉ่อย เรียกผมไป แล้วก็เขียนเช็คให้ผม 5 หมื่น เขาบอกผมว่าเขาเป็นแฟนคลับคุณพ่อ เขาดูรายการแล้วสงสาร อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้ผมขอช่วยค่ายา เราก็นำเงินเหล่านั้นมารักษาตัว เส้นเลือดตีบบ้าง ไวรัสช่วงระยะแรกบ้าง 


มีน้อยใจกับชะตาชีวิตบ้างไหม

สุริยา ชินพันธุ์: มันก็มีลำบาก มีเซ็งในหน้าที่การงาน ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องงาน


ภรรยาที่อยู่ด้วยทุกวันนี้เป็นคนที่สอง คนแรกเขาไปเมื่อไหร่

สุริยา ชินพันธุ์: ภรรยาคนแรกก็คือคนที่ล้มละลายด้วยกันนั่นแหละ คนแรกเขาไปทางธรรมะ ซึ่งเขาเคร่ง เขาขอเลิกกับเราตอนที่เราล้มละลายแล้ว เขาบอกว่ามันไปไม่ไหว ต่างคนต่างไปเถอะ ก็แยกกันไป เพราะลูกๆ เราก็เริ่มโตแล้ว เขาก็เริ่มรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่อยู่ไหน ทำอะไร ตอนแยกกันก็ไม่ได้ทะเลาะกัน ไม่ได้มีปัญหาเรื่องอื่น ก็แยกกันไป  หลังจากนั้นเราก็ไปเปิดคาเฟ่ ก็ได้เอก (สรพงษ์ ชาตรี) มาช่วยค้ำให้ ก็เปิดคาเฟ่ได้ 2 ปีก็เจ๊ง  


จากสูงสุดสู่สามัญ ทำให้มีหลายครั้งที่คิดจะฆ่าตัวตาย 

สุริยา ชินพันธุ์: ก็มีเหมือนกัน อย่างช่วงที่เล่นวงดนตรีเก็บเงินไม่ได้ และก็ปัญหาหลายๆ อย่างรุมเร้าเข้ามา ทั้งปัญหาสุขภาพตั้งแต่เป็นเส้นเลือดตีบในสมอง เป็นไวรัสซี เป็นตับแข็ง เราทำไปเพื่ออะไร ล้มแล้วก็ลุก ลุกแล้วก็ล้มใหม่ ก็สงสัยว่าทำไมคนอื่นเขาทำครั้งเดียวก็ตั้งตัวได้  มันน้อยใจตัวเอง 


เอากำลังใจมาจากไหน

สุริยา ชินพันธุ์: เอามาจากคุณแม่  คือช่วงนั้นเราเล่นวงดนตรี เราไม่ค่อยได้เจอลูกๆ เลย คือเราก็ฝากให้คุณแม่ คุณยายเลี้ยง เราก็คิดว่าแม่อุ้มท้องเรามาตั้ง 9 เดือน ทำไมเราต้องมาคิดสั้นปลดชีวิตตัวเอง ทั้งๆ ที่ภาระเราก็ยังมี ครอบครัวจะอยู่อย่างไร ชื่อเสียงที่เราได้มาเราก็ได้มาจากประชาชน เพราะถ้าไม่มีประชาชน ก็จะไม่มีสุริยา และก็จะไม่มีผู้กำกับ ไม่มีตากล้อง ไม่มีสื่อมวลชน ก็จะไม่มีนายสุริยาขึ้นมาได้ ก็คงเป็นได้แค่นายประมูล เหมือนเดิม ก็เลยไม่ทำร้ายตัวเอง 


แม่พูดอะไรกับเราไหมสุริยา

ชินพันธุ์: แม่ก็ดีใจ ก็บอกว่าให้หากินไปในอาชีพสุจริต ก็ทำไป แม่ผมก็เคยสอนว่าให้ตั้งใจเรียน แต่ผมเรียนไม่เก่ง อยากเป็นทหารก็สอบไม่ได้ ตกสัมภาษณ์บ้าง อะไรบ้าง ถ้าเรียนจบปริญญามาก็จะได้เป็นราชการ  


เห็นว่าเคยไปขายของมือสอง ตอนนั้นไปขายอะไรบ้าง 

สุริยา ชินพันธุ์: ตอนนั้นไปขายรองเท้ามือสอง ถามว่าไม่เขิน ช่วงที่บูมๆ ผมได้แต่ลงรถแล้วก็ต้องขึ้นโรงแรม ลงจากโรงแรมขึ้นรถ แล้วก็ไปอยู่หลังเวที เห็นลูกน้องในวงออกไปเดินกินขนมจีน ไปกินก๋วยเตี๋ยว เราอยากออกไปก็ออกไม่ได้ อิจฉาเขา เพราะเราเป็นหัวหน้าและเป็นดารา   ถามว่าตอนไปขายรองเท้ามือสอง คนจำได้ไหม จำได้ ตอนนั้นขายดีด้วย คือยุคนั้นเราต้องไปซื้อของที่โรงเกลือเอารถกระบะไปเหมามาขาย  เราก็เลือกรองเท้าแบรนด์เนมดังๆ ไปขายตามคลองถม ตลาดดอนเมือง คลองสามวา มีตลาดเราไปหมด 


ผ่านปัญหามาหลากหลายให้กำลังใจ ที่กำลังมีปัญหาในชีวิตหน่อย

สุริยา ชินพันธุ์: ช่วงนี้แม้ว่าโควิดจะทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพร่างกายและการเจ็บป่วย แต่ก็อย่าไปท้อ หรือว่าท่านใดทำธุรกิจแล้วไม่รอดก็อย่าไปท้อ ก่อนอื่นต้องตั้งสติ พอมีสติแล้วจะทำให้เกิดปัญญา แล้วก็จะทำให้คิดได้ว่าเราจะทำอะไรต่อ อะไรที่เราถนัดเราก็ทำไป แม่ผมเคยบอกว่า อย่านอนตื่นสาย อย่ามัวอายทำกิน ผมก็เลยทำแบบนี้ ขายได้ก็ขายไป ช่วงหลังๆ คนมาขายเยอะ เราก็หยุดไปก็เปลี่ยน ไปขายเสื้อมือสองแทน


ติดตามชมคำสัมภาษณ์แบบเต็มๆ ได้ในรายการ “คุยแซ่บShow”  ทุกวันจันทร์-วันศุกร์  เวลา13.40-14.40 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

You may have missed